วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

SOTUS : ใจ อึ๊งภากรณ์

>ในตอนเย็นของวันทำงานธรรมดาๆ ที่จุฬาฯ วันหนึ่ง ผมเดินออกจากห้อง
>เพื่อไปขึ้นรถไฟกลับบ้าน
>แต่ปรากฏว่า มีเสียงโห่ร้อง อย่างน่ากลัวเกิดขึ้น จากตึกคณะเศรษฐศาสตร์
>
>ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่า เสียงนี้เป็นเสียงฝูงสัตว์ป่า หรือกลุ่มอันธพาลกันแน่
>แต่พอยืนฟังสักพัก
>ก็รู้ว่าเป็นนิสิตจุฬาฯ เห่าหอนโห่ร้องว่า คณะของตน และมหาวิทยาลัยของตน
>ดีกว่าคนอื่น ฯลฯ
>ผมเดินต่อไปที่ตึกรัฐศาสตร์ ก็ปรากฏว่ามีเสียงประหลาดๆ แบบนี้เกิดขึ้นเช่นกัน
>แต่ออกมาจากห้อง
>ที่ประตูหน้าต่างปิดหมด
>
>สักพักหนึ่งผมเดินไปที่หน้าเสาธง ก็เห็นวัยรุ่นอันธพาลชาย 3
>คนยืนปรามนิสิตหญิงปี 1 คนเดียว
>เขาใช้วิธีบังคับทารุณ ให้ผู้หญิงคนนั้น วิ่งไปวิ่งมา หรือนั่งลงแล้วยืนขึ้น
>ทั้งหมดกระทำไป
>เพื่อทำลายความเป็นปัจเจกความคิดสร้างสรรค์ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
>ของนิสิตคนนั้น
>เพราะการบังคับ ให้คนทำสิ่งที่ไร้สาระเพื่อ *'พิสูจน์'* ความจงรักภักดี
>
>มันแย่ยิ่งกว่าการบังคับทาส หรือนักโทษให้ขุดคลอง ยิ่งกว่านั้น
>ขณะที่พวกรุ่นพี่กำลังบังคับให้นิสิตปี 1
>วิ่งไปวิ่งมาอย่างไร้สาระ ก็มีการตะโกนด่า อย่างที่คุณพ่อคุณแม่
>หรือครูของนิสิตคนนั้น
>คงไม่มีวันกระทำ เพราะมันเป็นพฤติกรรมแท้ของคน ที่ไม่มีอารยธรรม และนอกจากนี้
>ทั้งหมดนี้
>กระทำต่อหน้ากลุ่มนิสิตปี 1 เพื่อเป็น *'ตัวอย่าง'* ให้เขาเห็น
>
>สรุปแล้วมันเป็นภาพของการทำลายศักดิ์ศรีซึ่งกัน และกันระหว่างนิสิตรุ่นพี่
>และรุ่นน้อง ทั้งผู้กระทำ
>และผู้ถูกกระทำกลายเป็นสัตว์ป่า เพราะผู้กระทำหลงเชื่อว่า
>ตนเองมีสิทธิที่จะกระทำแบบนั้นกับผู้อื่น
>
>การตะโกนแบบหยาบๆ เพื่อบังคับให้คนภายใต้อำนาจเราทำสิ่งที่ไร้สาระ
>เรียนรู้โดยตรงจากการฝึกกองทหารในระบบทุนนิยม
>ถ้าดูภาพยนตร์เรื่องชีวิตการฝึกทหารก็จะเห็นวิธีการแบบนี้ เป้าหมายหลักคือ
>การฝึกให้พลทหารทำตามคำสั่งโดยไม่คิด และไม่เถียง
>เพราะพวกนายพลมองว่าเป็นการสร้าง
>*'ประสิทธิภาพในการรบ'*
>ขอเน้นอีกครั้งหนึ่งว่าวิธีการนี้ใช้เพื่อสร้างประเพณีบรรยากาศการทำตามคำสั่งโด
>ยไม่คิดเอง
>
>ดังนั้นนี่คือสิ่งที่นักศึกษาใน *'มหาวิทยาลัยชั้นนำ'*
>ของไทยกำลังถ่ายทอดจากรุ่นพี่ไปสู่รุ่นน้อง
>ดังนั้นอย่าหวังอะไรมากจากเด็ก SOTUS ที่จบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
>เพราะถ้าตอนสอบเข้าเขาคิดเองเป็น
>พอผ่านการฝึกฝนในห้องเชียร์ในปีแรกก็คงไม่มีมันสมองเหลือเพื่อการวิเคราะห์โลกอี
>ก
>
>สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องของระบบทหารคือ
>ในสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี
>หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789 หรือในสงครามระหว่างเวียดนามกับสหรัฐในทศวรรษที่
>60 และ 70
>ฝ่ายที่ชนะไม่ได้ชนะเพราะมีการฝึกทหารให้เป็นหุ่นยนต์ที่ทำตามคำสั่ง
>แต่ชนะเพราะทหารฝรั่งเศสหรือทหารเวียดนามเข้าใจด้วยมันสมองของตนเองว่า
>เขาออกรบเสี่ยงตายเพื่ออะไร
>
>พูดง่ายๆ ไม่ต้องมีใครมาสั่งให้เขารบอย่างกล้าหาญหรอก
>เขารบอย่างกล้าหาญเพราะเขาเห็นด้วยกับอุดมการณ์ที่เขากำลังปกป้อง Henry
>Kissinger
>เข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะเขาสารภาพว่า
>"เราแพ้สงครามเวียดนามเนื่องจากเราใช้การทหารในการรบในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามใช้การเ
>มือง"
>
>กลับมาสู่มหาวิทยาลัยของผมที่หวัง *'เป็นเลิศทางวิชาการ'* ....
>ถ้าเราถามนิสิตรุ่นพี่หรือนิสิตเก่าว่า กิจกรรมในห้องเชียร์ทำไปทำไม
>เขาจะตอบว่ามันเป็นกิจกรรมร่วมภายใต้ระบบ SOTUS
>ที่สร้างความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในคณะ
>เขาจะอธิบายต่อว่าการผ่านความยากลำบาก
>การถูกบังคับอย่างทารุณโดยรุ่นพี่) ช่วยให้ทุกคนรู้จักกันดีขึ้น และสามัคคีกัน
>
>ดังนั้นผมขอเสนอว่าจริงๆ แล้วถ้านิสิตจะฝ่าความยากลำบากพร้อมๆ
>กันก็ควรอาสาสมัครหมู่ไปขุดโคลนออกจากท่อระบายน้ำตามถนนอย่างที่นักโทษเขาทำกัน
>หรืออาสาสมัครไปเก็บขยะตามสลัมแถวๆ คลองเตย หรือทำความสะอาดห้องน้ำสาธารณะ ฯลฯ
>จะมีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า
>
>แต่ผมเชื่อว่านิสิตพวกที่หลงใหลในระบบ SOTUS คงไม่มีวันทำ เพราะลึกๆ
>แล้วระบบนี้เป็นระบบที่ปกป้องโครงสร้างอำนาจระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง "สิงห์ดำ
>แดง เหลือง ม่วง
>ลาย ฯลฯ" หลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้วออกไปทำงาน พูดง่ายๆ SOTUS
>มันไม่แค่ทำลายความคิดของนิสิตขณะที่ศึกษา
>แต่มันปกป้องระบบอำนาจนิยมในหมู่ชนชั้นนำในสังคมไทยด้วย
>
>สำหรับคนที่ไม่เข้าใจว่า SOTUS คืออะไร ขออธิบายว่าเป็นตัวย่อจากภาษาอังกฤษ 5
>คำดังนี้
>
>*S* มาจากคำว่า *Stupid* หรือ *'โง่'* ระบบห้องเชียร์ช่วยให้นิสิตโง่มากขึ้น
>เพราะทำลายเซลล์ในสมอง และความสามารถในการคิดเองเป็น แถมกิจกรรมต่างๆ
>ที่ทำในห้องเชียร์ถูกกำหนดว่าต้องเป็นเรื่องโง่ๆ ด้วย
>ห้ามเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
>ต้องวิ่งไปวิ่งมา ขังรุ่นน้องในห้องโดยปิดประตูหน้าต่าง และไม่เปิดแอร์
>ทำถูกก็โดนด่า
>ทำผิดก็โดนด่า ไม่ทำก็ด่า ทำก็ด่า ทำไปทำมาทั้งรุ่นน้อง
>และรุ่นพี่โง่กันอย่างสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
>
>ทำกิจกรรมเสร็จแล้วออกมาจากห้องก็ต้องไหว้รุ่นพี่อีก ถ้ารุ่นพี่สั่งให้ไหว้หมา
>*'เพื่อความสามัคคี'*
>ก็คงต้องไหว้มั้ง? แถมเรียนจบก็นำความโง่ไปใช้ในสังคมภายนอก
>หมอบคลานกราบไหว้สิ่งที่ไม่ควรกราบ ไม่ต้องใช้สมองคิด สังคมจะได้โง่
>
>สรุปแล้วโคตรโง่เลย !
>
>*O* มาจากคำว่า *Out-Dated* ซึ่งแปลว่า *'ล้าสมัย'*
>ความล้าสมัยของระบบห้องเชียร์ และ
>SOTUS ดูได้จากการที่มีการยกเลิกระบบนี้เองโดยนักศึกษาไทยในยุค 14 ตุลาคม 2516
>ซึ่งเป็นยุคตื่นตัวทางสังคมของนักศึกษา
>ในยุคนั้นเริ่มมีขบวนการนักศึกษาที่ปฏิเสธความโง่
>และความป่าเถื่อนของระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ประเพณีต่างๆ ที่พวกพี่ๆ โง่
>นำมาใช้ในสมัยเผด็จการทหารก็เลยกลายเป็นเรื่องตลก และถูกยกเลิกไป
>
>แต่ปรากฏว่าตอนนี้เกือบ 30 ปีผ่านไป สังคมนักศึกษาก็ยังจมอยู่ในความโง่ของอดีต
>สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะนักศึกษาโง่หรอก แต่เพราะชนชั้นปกครองไทยอยากให้โง่ต่างหาก
>ดังนั้นเมื่อนักศึกษาเริ่มคิดเองเป็น และเริ่มเคลื่อนไหวทางสังคมหลังสมัย 14
>ตุลา
>ชนชั้นปกครองกลัวว่าจะปกป้องอภิสิทธิ์ไม่ได้
>จึงมีคำสั่งร่วมลงมาให้สังหารหมู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ตุลาคม
>2519
>และมีคำสั่งตามมาให้เผาหนังสือที่อาจปลดแอกพวกเราจากความโง่ตามห้องสมุดต่างๆ
>ด้วย
>
>ในยุคโลกาภิวัตน์ ใครๆ เขาพูดกันว่าพลเมืองต้องมีส่วนร่วมในการปกครอง
>ต้องร่วมตรวจสอบผู้แทน
>ต้องมีประชาธิปไตย ต้องคิดเองเป็น
>และมีการเสนอมานานว่าควรปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนานักศึกษา
>แต่ในหมู่นิสิตรุ่นต่างๆ ที่บ้าคลั่ง SOTUS
>การเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอกคงไม่มีความหมาย
>น่าสงสารไม่มีสมองก็คิดเองไม่เป็น แล้วคงไม่รู้จักเปลี่ยนวิธีปฏิบัติ
>
>*T* ย่อจาก *Tyranny* ซึ่งแปลว่า *'การใช้เผด็จการกดขี่ผู้อื่น'* ระบบ SOTUS
>ใช้วิธีการไร้สาระของการกดขี่เพื่อความไร้สาระ
>และเป็นระบบที่นำมาหนุนความคิดแบบอำนาจนิยมกราบไหว้ในสังคมภายนอก
>แต่เราไม่ควรลืมประวัติศาสตร์ของเราเอง ในปี 2475, 2516 และ 2535
>มวลชนชาวไทยรวมตัวกันล้มระบบเผด็จการ และชนะ
>
>ดังนั้นถ้านิสิตนักศึกษารุ่นใหม่ต้องการล้มเผด็จการของห้องเชียร์ และรุ่นพี่
>ก็คงต้องเรียนบทเรียนจากอดีต คนหนุ่มสาวไทยสามารถล้มเผด็จการได้
>และเคยยกเลิกระบบรุ่นพี่รุ่นน้องในจุฬาฯ ด้วย แต่ทำคนเดียวไม่ได้
>ต้องรวมตัวกันปฏิเสธความโง่
>แล้วพวกรุ่นพี่ที่ดูเหมือนจะมีอำนาจล้นฟ้าก็จะกลายเป็นมนุษย์น้อยที่น่าสงสารเท่
>านั้นเอง
>ดีไม่ดีเขาอาจไหว้เราเป็นการขอบคุณก็ได้เพราะเราสามารถปลดแอกความโง่จากเขาได้
>
>สิ่งที่สำคัญคือ นิสิตต้องทำเอง
>ไม่ใช่ไปหวังว่าคนอื่นอย่างผมหรือใครที่ไหนจะทำให้
>อย่าลืมว่าคนสามารถเอาแอกออกจากควายได้ แต่เนื่องจากควายเอาแอกออกเองไม่ได้
>ควายจำต้องเป็นทาสของมนุษย์ตลอดกาล
>
>*U* มาจาก *Uncivilised* ซึ่งแปลว่า *'ป่าเถื่อน'* ไม่มีอารยธรรม
>การใช้อำนาจระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง การทำกิจกรรมไร้สาระ การตะโกนในทำนองว่า
>"คณะกูดีกว่าคณะ" การทำลายความเป็นปัจเจกมนุษย์
>และการทำลายมันสมองที่จะคิดเอง
>ล้วนแต่เป็นความป่าเถื่อนไร้อารยธรรม
>แม้แต่สัตว์ในป่ายังมีอารยธรรมมากกว่าพวกบ้า SOTUS
>เพราะสัตว์มันคิดเองไม่เป็นตามธรรมชาติเรายกโทษให้มันได้
>แถมมันไม่มีวันจงใจโง่หรือแกล้งคนอื่นเหมือนพวกนิสิต SOTUS
>
>รู้ไหมว่าระบบ SOTUS นี้คนไทยเอามาจากไหน?
>ลองคิดดูว่าที่ไหนไร้อารยธรรมที่สุดในโลก
>คนกลุ่มไหนกำลังทำตัวเป็นอันธพาลระดับโลกาภิวัตน์จนเกิดการเกลียดชังกันทั่วทุกแ
>ห่ง
>คนกลุ่มไหนพร้อมจะกอบโกยขณะที่คนยากจนอดอยาก คนกลุ่มไหนฆ่าเด็กในนามของเสรีภาพ
>....
>
>ใช่ครับ ระบบ SOTUS มาจากส่วนบนของสังคมสหรัฐอเมริกาที่ล้าหลัง
>และไร้อารยธรรมที่สุด พวก
>*'รักชาติไทย'* ทั้งหลายว่าอย่างไรครับ?
>จะเดินตามก้นสหรัฐเหมือนคนกวาดมูลต่อไปไหม?
>
>*S* ตัวสุดท้ายมาจากคำว่า *Stop It* - *'เลิกเถิดเรื่องโง่ๆ ไร้สาระ'*
>เลิกเถิดเรื่องการกดขี่กันเองในหมู่นักศึกษา เลิกตะโกนบ้าๆ
>เพื่อเชียร์สิ่งที่ไม่น่าเชียร์ เลิกภูมิใจ
>และเคารพกราบไหว้ในสิ่งน่าเบื่อย่ำแย่ เลิกกลัวที่จะขัดคำสั่งรุ่นพี่
>รุ่นพี่เลิกกลัวที่จะไม่ทำตามประเพณีโง่ๆ ต่อไป....
>
>แล้วถ้าเลิกไปนิสิตจะใช้เวลาทำอะไร? จัดการแสดงดนตรี จัดละคร ไปดูหนัง
>อ่านหนังสือ
>อ่านหนังสือพิมพ์ และวารสาร สนใจปัญหาสังคม สนใจปัญหาการเมือง
>สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม
>คุยกับเพื่อน คุยกับคนในครอบครัว จู๋จี๋กับแฟน ไปกินข้าวอร่อยๆ ออกกำลังกาย
>ไปเที่ยว
>เขียนจดหมายมาวิจารณ์คนอย่างผมก็ได้ (มีอี-เมล์ข้างบน)...
>
>*ระบบห้องเชียร์ และ SOTUS มันน่าจะเป็นฝันร้ายจากอดีตที่ไม่เป็นจริง
>แต่ทุกวันนี้
>ในหมู่คนหนุ่มสาวที่อ้างตัวว่าเป็นกลุ่มชั้นนำ (Cream of Thai Society)
>มันเป็นความจริง
>และแย่ยิ่งกว่าฝันร้ายอีก*