วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ตีความSOTUSใหม่

[1] “ถึงเอกมัยแล้วนะ……..มา รับกูที” เสียงปลายสายสั่งให้ผมลุกขึ้นจากโซฟาไม้สักจากเมืองแพร่ (ที่มีคนชอบต่อท้ายว่าแห่ระเบิด) ผมไม่รู้จะเรียกญาติวัยเดียวกันว่าเพื่อน พี่ หรือน้องดี เจ้าหนุ่มจากนิคมโรงงานแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกจัดแจงนัดแนะผมมาเที่ยว เมืองกรุงตั้งแต่เราพบกันที่เชียงใหม่ช่วงสงกรานต์ หมอนั่นติดใจความบ้าบิ่นของผมที่พามันเดินเสียรอบคูเมืองเชียงใหม่ จะไม่ชอบใจได้อย่างไรเล่า ก็ในช่วงวันสงกรานต์สาวๆบริเวณคูเมืองเชียงใหม่เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่อง ความน่ารักออกอย่างนั้น

[2] ผม รู้สึกเหมือนตัวเองพาเด็กเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มออกมาเผชิญโลกภายนอก บนรถลอยไฟฟ้าแห่งมหานคร ช่างฟิตจากนิคมโรงงานออกอาการเหมือนไม่เคยพบเพศหญิง มันตาโตเมื่อผ่านห้างสรรพสินค้า และผมเกือบจะอุ้มมันเพื่อสับเปลี่ยนขบวนรถไฟ

[3] บาง ทีการที่เราอยู่ในสถานที่ที่มีสาวๆนุ่งกระโปรงสีดำเสื้อสีขาวนานๆน่าจะทำให้ วิญญาณลอยออกจากตัวเองแล้วตามไปกับความใสของสาวๆเหล่านั้นได้ อะไรหนอทำให้กรุงเทพอุดมไปด้วยนักศึกษา อาจจะจริงที่มหานครเหล่านี้เป็นกระจุกศูนย์รวมการศึกษาระดับต่างๆไปเสียแล้ว

[4] เดือน มิถุนาทุกปีนะครับที่ผู้ปกครองของเด็กนักศึกษาต่างยินดีและกังวลไปในเวลา เดียวกัน ความยินดีที่บุตรหลานของตนเองได้เข้าสถานศึกษาอย่างที่ตนเองหวังระคนไปกับ การระแวงระวังสวัสดิภาพแก้วตาดวงใจยามห่างไกลกัน ผมเองก็คนหนึ่งแหละที่แม่เคยห่วง ใช้คำว่าเคยห่วงนะครับ สมัยผมไปเรียนที่พะเยาปีแรกแม่ผมร้องไห้ที่หลังหอพักชาย ไอ้เราก็ดีใจนึกว่าแม่จะตื้นตันใจว่าลูกชายไม่เอาถ่านเข้ามหาวิทยาลัยได้ เลยตั้งปุจฉาถามแกไปว่าเป็นอะไรถึงร้องไห้ วิสัชนาของมารดาผมทำเอาแทบหงายหลัง แกบอกว่ากลัวลูกมีเมีย

[5] เขา เรียกเดือนมิถุนากันเล่นๆว่ามิถุนาทมิฬ ข่าวความรุนแรงของการรับน้องมีทุกปี ไม่รู้จะแก้ปัญหากันอย่างไร จำได้ว่าสมัยผมรับน้องครั้งแรกห้องเชียร์ปิดเพราะมีข่าวนักศึกษาปีหนึ่ง มหาวิทยาลัยแถวบางเขนทำการลาโลกด้วยเหตุผลการรับน้อง จนมาปี2552นักศึกษาจากสถาบันการศึกษาชื่อแห่งหนึ่งออกมาร้องเรียนเรื่องการรับน้องจนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนแทบปิดสถาบัน

[6] หาก เราเรียกผู้ที่ศึกษาในระดับอุดมศึกษาว่าปัญญาชนแล้ว สิ่งที่ปัญญาชนแสดงออกในการต้อนรับผู้มาศึกษาหลังตนนั้นเรียกว่าอะไรเล่า การรับน้องกระนั้นหรือ???

[7] ที่ วันนี้ผมเขียนเรื่องนี้มิใช่การต่อต้านการรับน้องนะครับ ผมเชื่อเสมอว่าการต้อนรับผู้มาทีหลังนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ปัญหาของมันอยู่ที่วิธีการนี่สิ เราต้อนรับเขาอย่างไร วันนี้ผมจึงอยากชี้ชวนให้คนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ของผมลองช่วยกันตีความ เจ้าระบบที่เรียกกันว่าSOTUSกันใหม่ เนื้อหาของระบบนี้ผมคิดว่าค่อนข้างแปร่งๆ ดูไม่สมเหตุสมผลเสียทีเดียว

[8] ไม่ทราบว่าระบบSOTUS(โซ ตัส)นี่มีที่มาอย่างไร เริ่มใช้กันตอนไหน แต่เจ้าระบบนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันตั้งแต่สภากาแฟ วงสุรา ไปจนถึงวงวิชาการเลยทีเดียว ระบบโซตัสนี้มักมากับการกระทำที่เรียกว่าการว้าก ผ่านผู้กระทำการที่เรียกว่าฝ่ายวินัย

[9] โซตัสนี่เป็นตัวย่อนะครับ S ตัวแรกคือ Seniority คือ ความอาวุโส O ตัวที่สองคือ Order คือ คำสั่ง T คือ Tradition แปลว่า ประเพณี U คือUnity คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และ S ตัวสุดท้าย เป็น Spirit หรือ จิตวิญญาณ ถึงตรงนี้ถ้าผมแปลไม่ตรงก็ทักท้วงได้นะครับ

[10] อ้าว แล้วมันมีปัญหาตรงไหน เขาว่ากันว่าผู้ก่อการร้ายที่นับถือศาสนาอิสลามทำการก่อการร้ายทุกวันนี้ก็ เพราะว่าตีความหลักศาสนาผิดเพี้ยนไป ผมก็ว่านักศึกษาก็น่าจะตีความ SOTUS เพี้ยนไปเช่นกัน

[11] แล้ว มันผิดตรงไหนล่ะ มองกันดีๆนะครับ ถ้าคนที่เคยรับน้องหรือเข้าซ้อมห้องเชียร์ด้วยระบบนี้ก็พอเดาได้ หากมีการตีความเข้าข้างรุ่นพี่ล่ะก็ยุ่งแน่ อำนาจสั่งการเด็กใหม่อย่างมหาศาลก็มีมาตรงนี้แหละ ก็ S ตัวย่อตัวแรกของระบบนี้พูดถึงอาวุโสเสียแล้ว

[12] อาจารย์ ของผมคนหนึ่งบอกว่าหากคุณติดกระดุมเม็ดแรกผิดเม็ดต่อไปก็ผิดหมด แน่นอนครับตัวย่อต่อไปไม่ต้องพูดถึง ถ้าผมแปลเข้าข้างรุ่นพี่ทั้งระบบ SOTUSก็จะเป็น คำสั่งจากรุ่นพี่เป็นประเพณีที่ต้องรักษาไว้เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวของจิตวิญญาณ เห็นความแปร่งแล้วใช่ไหมครับ

[13] กลาย เป็นว่าระบบนี้ให้อำนาจแก่รุ่นพี่มากเลยทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมระบบนี้จึงสร้างปัญหาแก่ปัญญาชนจนเป็นข่าวคราวดัง ครึกโครมไปทั่วประเทศขนาดนั้น ก็คำสั่งจากรุ่นพี่ถือเป็นประเพณี

[14] นึกภาพตามนะครับ น้องๆปีหนึ่งผู้ไม่รู้เรื่องราวในมหาวิทยาลัยถูกรุ่นพี่ใช้SOTUS หลอกและชักจูงไปทำกิจกรรมต่างๆ เพราะถือว่าเป็นคำสั่งจากรุ่นพี่แกมันรุ่นน้องห้ามขัด จะขัดไปทำไมมันเป็นประเพณีทำกันมานานแล้ว แล้วถ้ามีใครขัดขึ้นมาก็สร้างและประณามให้มันกลายเป็นคนแปลกแยก ทำลายประเพณี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและจิตวิญญาณที่รักษากันมา ซึ่งถ้ากิจกรรที่ทำดีก็ถือว่าดีไป แต่ถ้ามันเป็นกิจกรรมที่ไม่สร้างสรรค์เหมือนข่าวที่ออกมาล่ะ?

[15] ผมเองก็เลยนำเอาระบบ SOTUS เข้ามาตีความใหม่ โดยพยายามไม่เอนไปด้านในด้านหนึ่ง จากย่อหน้าที่ [9] นะครับ S ตัวแรกตีความใหม่เป็น การเคารพผู้อาวุโสให้เกียรติคนที่มาก่อนและคนที่มาก่อนต้องทำตัวให้เป็นที่สมควรแก่ความเคารพด้วย O คือภารกิจที่ได้รับมอบหมาย มิใช่คำสั่งเหมือนก่อน แต่ภารกิจนี้คือภาระหน้าที่ของปัญญาชนที่มีต่อสังคม T ถูกตีความเป็นการสร้างประเพณีอันดีงามแก่สังคมทั่วไป U คือความสามัคคีในหมู่คณะ สามารถมีความเห็นต่างได้โดยไม่เกิดความแตกแยก และ S ตัวสุดท้ายตีความใหม่เป็น ความรับผิดชอบและจรรยาบันของปัญญาชนที่พึงมี

[16] ผมลองตีความความหมายของ SOTUS ใหม่แล้วนำมาเรียงๆกันดูแล้วพอจะเข้าใจถึงเจตนารมณ์ลึกๆบางอย่างของผู้ที่นำ เอาระบบนี้เข้ามาใช้ในการต้อนรับผู้มาทีหลังในมหาวิทยาลัยบ้าง การที่เรามุ่งแต่สร้างความเข้มแข็งถือเป็นเรื่องดีนะครับ แต่ถ้าเราไม่ลืมหูลืมตามองออกไปทางอื่นบ้าง มันก็ขาดการพัฒนาในตัวเอง เหมือนไดโนเสาร์ละครับ ตัวใหญ่ แข็งแรง เสียดายที่มันไม่สามารถปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ เหล่าสัตว์ยักษ์แห่งโลกดึกดำบรรพ์ก็เลยเหลือเพียงฟอสซิลให้เราได้แค่ศึกษา ไม่ได้เจอตัวเป็นๆสักที

[17] เย็นวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม การท่องเที่ยวอย่างบ้านนอกเที่ยวกรุงของผมกับเจ้าหนุ่มฝั่งทะเลตะวันออกนั่ง พักรอพี่สาวของเราอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เราทั้งคู่ถ่ายรูปแถวนั้นอย่างเมามันเหมือนเด็กเล่นอะไรบางอย่าง พลันเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งก็สั่งให้เราทั้งคู่เก็บกล้องถ่ายรูปเสีย เหตุผลเพราะมีเจ้านายจะออกจากสวนอัมพร เราทั้งคู่จึงต้องเก็บความสนุกลงกระเป๋ากล้องอย่างทันทีทันใด อยากจะบอกพี่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นจริงๆว่าผมสองคนไม่ได้ตั้งใจถ่ายรูปเจ้า นายพระองค์นั้นหรอกครับพี่ ที่ผมสองคนถ่ายน่ะพี่ต่างหาก…..

ปล.

ตอนขึ้นรถไฟกลับอีสานของผมดันทำตั๋วรถไฟหาย โง่จริงๆเลยต้องซื้อตั๋วรถไฟใหม่ ต้องขอบคุณพนักงานขายตั๋วรถไฟหนุ่มช่อง 7 ของหัวลำโพงเวลาประมาณ 17.30 ของวันที่ 8 ที่พยายามช่วยผมเท่าที่พี่ทำได้แล้วครับ