วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

SOTUS เมล็ดพันธุ์เผด็จการ และการอุปถัมภ์ในรั้วมหาวิทยาลัย กับภาวะเสื่อมโทรมของสมองนักรัฐศาสตร์ไทย



SOTUS หรือระบบอาวุโส เป็นระบบการ “ควบคุม” พฤติการณ์ทางประเพณีนิยม ของบรรดารุ่นพี่นิสิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยโดยมากของประเทศไทย โดยสิ่งที่ระบบนี้จะทำการเน้นว่าเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างหาค่าไม่ได้ที่สุด ก็คือ ความเป็น “รุ่นพี่รุ่นน้อง” ซึ่งผมมองว่าเป็นเพียงลมปากมากกว่า เพราะคำจำกัดความที่เหมาะสมที่สุดควรจะเป็น “ความเป็น นายกับบ่าว” ซึ่งผมมองว่าระบบอาวุโส ของบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องทั้งหลายนั้นมีจุดบ่งชี้หลายจุดมากที่เหมือนกับระบบ นาย และบ่าวที่เคยใช้กันตั้งแต่ยุคพ่อขุนรามฯ ยังไม่ทันประสูติด้วยซ้ำ

ในระบบนาย – บ่าว นั้นก็อย่างที่รู้กันดีว่าผู้ที่เป็นนาย มีสิทธิ์สั่งการให้ผู้เป็นบ่าวกระทำพฤติการณ์ใดๆ ก็ได้ตามความต้องการของผู้เป็นนาย ในขณะที่ผู้เป็นบ่าวไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะท้วงติง หรืออิดออด แต่กระนั้นการที่บ่าวยอมทำตามแต่โดยดีก็เพราะ เมื่อยามใดผู้เป็นบ่าวถึงคราวเคราะห์เดือดร้อนขึ้นมา ผู้เป็นนายก็มักจะให้การช่วยเหลือ ซึ่งพฤติการณ์ทั้งหมดที่ว่ามาโดยองค์รวมนี้เรามักเรียกกันว่า “ระบบอุปถัมภ์”

ทีนี้เราลองเอาระบบอาวุโส หรือโซตัสมาเปรียบดูกัน จะพบได้ว่าคล้ายคลึงกันมาก เพราะรุ่นพี่สั่งรุ่นน้องได้ทุกอย่าง โดยที่รุ่นน้องไม่สามารถขัดขืนได้ ซึ่งบางครั้งคำสั่งรุ่นพี่ที่สั่งมานั้นก็งี่เง่า และไร้เหตุผลอย่างเหลือประมาณ (เช่น เอากล้วยซุกหว่างขาชาย แล้วให้ฝ่ายหญิงกิน, การอมอมยิ้มต่อๆ กัน - กูอยากถามนานแล้วว่าถ้าเกิดมีรุ่นน้องสักคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบแต่ตัวเอง ไม่รู้ตัวว่าเป็น แล้วมาอมไอ้อมยิ้มเนี่ย สุดท้ายเกิดติดโรคกันแม่งทุกคน อย่างนี้จะแปลว่าพวกรุ่นพี่ทีสั่งเป็นฆาตกรได้ป่าววะ?, การต้องมาเต้นท่าปัญญาอ่อนทั้งที่ไม่ได้อยากจะเต้น เป็นต้น) แต่ก็ต้องทำ
คำถามคือ ทำไม? เพราะหากไม่ทำก็จะโดนเขม่น หากขัดขืนก็จะโดนยำตีน นอกจากนี้รุ่นน้องก็ยังมองกันอีกว่าหากดำเนินรอยตามระบบอาวุโสนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาที่ตนต้องทำงานก็จะได้รับการ “อุปถัมภ์” จากเหล่าบรรดารุ่นพี่อีกต่างหาก

จากที่ผมได้ชักแม่น้ำฮวงโห และอเมซอนอย่างยืดยาวจนมาบรรจบกันได้นี้ก็เพราะผมต้องการจะเสนอว่าระบบ อาวุโสนี้นั้นเป็นการวางรากฐานทางความคิดที่สำคัญ 2 ประการคือ ระบอบเผด็จการ ซึ่งมาจากการมีอำนาจสั่งการอย่างเด็ดขาด ไม่อนุญาตให้ท้วงติง หรือคิดต่าง (อารมณ์ประมาณว่าพวกมึงน่ะโง่ มีแต่กูฉลาด เพราะฉะนั้นมึงต้องฟังกู - อยากจะแหวะว่ะเจอพวกนรกลืมเผาพวกนี้) และอีกหนึ่งคือระบบอุปถัมภ์ หรือเรียกง่ายๆ ว่าการเล่นเส้น เล่นสาย ที่สุดท้ายก็จะพัฒนามาเป็นการรับสินบน และทุจริตคอรัปชั่นในที่สุด (อย่างที่พวกนรกในปัจจุบันกำลังด่าอยู่ และพวกนรกในอดีตกำลังทำกันอย่างไม่อายโค อายควาย – สัตว์พวกนี้ทำงาน แลกอาหารอย่างสุจริตยิ่ง)

ระบบทั้งสองที่กล่าวมานั้น เรียกได้ว่าเป็นตัวฉุดความเจริญทางอุดมการณ์ประชาธิปไตยในประเทศไทยอย่างมาก ยิ่ง โดยเฉพาะลักษณะแนวคิดแบบเผด็จการ ที่ไม่มีสิทธิ หรือความเท่าเทียมใดๆ (ภาษาพี่น้อง คงต้องพูดว่า “ไม่อนุญาตให้ปีนเกลียว” กระมัง) น้องจำเป็นต้องโง่กว่า, สิทธิเสรีภาพต่ำกว่า (อยากจะรู้จริงๆ ว่าทำไมวะ พวกมึงเอาอะไรมาคิดกัน ถึงได้ทำเรื่องเอี้ยๆ งี้) อย่างกรณีของจุฬาฯ (และอีกหลายมหาวิทยาลัย) ผมอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมรุ่นพี่แต่งตัวแบบนั้นได้ แต่รุ่นน้องไม่มีสิทธิ? ถ้ารุ่นน้องแต่งตามพวกมึงแล้วผิดกฎ ก็แปลว่าพวกมึงเองก็ผิดกฎด้วยอยู่แล้ว (นอกจากกฎจะลำเอียงเสียเอง ซึ่งนับเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุด) แล้วมึงกล้าเอาหนังด้านๆ ส่วนไหนไปด่ารุ่นน้อง ไปห้ามรุ่นน้องวะ ไม่เคยคิดเลยว่าน้องก็อยากใส่ชุดรัดนมปลิ้น กับกระโปรงโค้งตามตูดเหมือนกัน แล้วมีสิทธิ์อะไรไปห้าม แน่จริงอธิบายมาหน่อยดิ๊?

ส่วนระบบอุปถัมภ์นั้นก็เห็นได้ชัดเช่นกันในความเป็นเครื่องกีดขวางระบบ ประชาธิปไตย คือพวกอยากจะถามว่า “พวกเราจะไปตามเส้นสายหรือ? ไม่ไปตามแรงสมอง กับมือตีนตัวเองหรือ?” เพราะพวกเรามัวแต่คิดกันอยู่นี่แหละว่า “จะอยู่ประเทศไทยให้รอดสบาย ยังไงก็ต้องมีเส้นมีสาย” มันถึงได้จำเป็นต้องมี (ลอง 63 ล้านคนคิดว่าไม่จำเป็นเหมือนกันดูสิ เดี๋ยวมันก็ไม่จำเป็นเอง) แล้วทีนี้เป็นไง ก็จะมีแต่พวกที่มีเส้นสาย แต่บางทีไร้สมองไต่ระดับการงานได้ ซึ่งจุดนี้เท่ากับเป็นการ “แบ่งวรรณะ และกีดกันทางสังคม” โดยอ้อมอยู่แล้ว เพราะมึงเล่นเอาแต่พวกมึง อย่างนี้คนอื่นก็ไม่ต้องมีโอกาสดิ แล้วอย่างนี้ประชาธิปไตยมันจะรอดได้ยังไง ผมไม่ได้พูดเล่นๆ ด้วยนะ เพราะช่วงหลัง 14 ตุลา นั้นระบบอาวุโสดับลง, พลังของ สนนท. รุนแรง และอุดมการณ์ประชาธิปไตยก็ก้าวไกล จนกระทั่งพอเกิดระบบเผด็จการขึ้นมาอีกครั้ง ระบบโซตัสก็เริ่มฟื้นขึ้นมาอีก ปลูกฝังอุดมการณ์ชั่วเข้าหัวนิสิตนักศึกษา หรือแม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก จนสุดท้ายพอเกิดการรัฐประหาร 19 กันยา ขึ้น สนนท. ที่เคยเข้มแข็งก็กลับอ่อนแอ, ปัญญาชนต่างๆ ก็ดันกลายเป็นคนเขาคู่ที่กลายเป็นผู้สนับสนุนการรัฐประหารไป เหล่านี้ล้วนได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งจากระบบโซตัสที่ว่านี้เอง


ทีนี้ผมจะขอเข้าประเด็นเรื่องนักรัฐศาสตร์ดูบ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีอะไรใหม่ (จากที่ผมได้พรรณนามา) เลย แค่อยากจะตอกย้ำสักหน่อยว่า นักรัฐศาสตร์ ควรจะเป็นบุคคลที่เชิดชู และหาทางพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ใช่หรือไม่? เช่นนั้นแล้วทำไมไอ้ระบบโซตัส และห้องเชียร์จึงยังมีอยู่? พวกมึงเป็นนักพัฒนาประชาธิปไตย หรือขี้ข้าเผด็จการกันแน่วะ? อาจมีหลายคนโต้แย้งผมด้วยเหตุผลแรกเริ่ม และดั้งเดิมที่สุดที่ทำให้ระบบโซตัสเกิดขึ้น นั่นคือ “ความสามัคคีของรุ่นน้อง” เพราะมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ที่คนจากทุกที่ ทุกอาชีพ และทุกฐานะมารวมกันดังนั้นการจะให้อยู่ร่วมกันได้ก็ต้องจับมาด่า มาว่า ให้พวกมันรวมหัวกันเกลียดรุ่นพี่...นี่หล่ะข้อดีของโซตัส

ทีนี้ตูจะถามกลับบ้างล่ะว่า “พวกมึงคิดหาวิธีที่จะทำให้คนเราสามัคคีกันที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วรึไงวะ?”, “แล้วความสามัคคีที่เกิดจากการรวมหัวกันเพราะความเกลียดเป็นเหตุเนี่ย มันดีแน่เหรอ?” ทำไมไม่ทำอะไรเพื่อให้สามัคคีกัน โดยยอมรับกันอย่างจริงใจเอง และเป็นประชาธิปไตยด้วยหล่ะ มึงอยู่คณะรัฐศาสตร์กันนะโว้ย ทำไมไม่ลองเปิดสภาจำลอง แทนห้องเชียร์วะ ให้ทั้งรุ่นน้อง รุ่นพี่เข้าไปอภิปรายกันสิ อย่างนี้แล้วจะไม่เป็นการฝึกให้เคารพความคิดเห็นของกันและกันมากกว่าหรือ, ได้ยอมรับในแนวคิด อุดมการณ์ของคนอื่นอย่างจริงใจมากกว่ามั๊ย, เป็นประชาธิปไตยมากกว่ารึเปล่า?

อย่างนี้แล้วจะมีไปทำไมไอ้ห้องเชียร์บ้าๆ กับระบบโซตัสเผด็จการนั่น