วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิพากษ์ว้าก:บทวิพากษ์แห่งการรับน้องประชุมเชียร์โซตัส(SOTUS)(ประชุมเชียร์ ระบบอำนาจนิยม?)

บทที่ 3

ประชุมเชียร์ ระบบอำนาจนิยม?

จากสิ่งที่เรียกว่า ประชุมเชียร์ เมื่อเราวิเคราะห์ให้ดีๆจะพบว่ามันเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของระบบอุปถัมภ์ การแบ่งชนชั้น ระบบเผด็จการที่เข้ามาแฝงอยู่ โดยรวมนั้นคือระบบอำนาจนิยม(อำนาจเป็นใหญ่เหนือสิ่งใด)นั่นเอง จึงเป็นสิ่งที่น่าสลดว่าทั้งๆที่ประเทศไทยนั้นปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค มีหน้าที่อันสมควรปฏิบัติ วีรชนในอดีตจวบจนปัจจุบันตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 , 6 ตุลาคม 2519 , พฤษภาประชาธรรมหรือพฤษภาทมิฬ , 7 ตุลาคม 2551 ,เมษาทมิฬ 2552 และ 2553 ได้สละเลือดเนื้อและชีวิตต่อสู้กับเผด็จการ ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตลอด
แต่เหตุใดเยาวชนที่ได้ชื่อว่าเป็นปัญญาชนของชาติกลับกระทำตรงกันข้ามกับวีรชนเหล่านี้ ยังคงอนุรักษ์ระบบรับน้องประชุมเชียร์แบบเก่าๆ ซึ่งเป็นรากเหง้าของระบบอำนาจนิยม สวนทางกับระบอบประชาธิปไตย และเป็นการนำพาประเทศของเราให้ถอยหลังอยู่ในคลอง(ไม่น่าใช้คำว่าถอยหลังเข้าคลองในยุคนี้เสียแล้ว เพราะทุกวันนี้ประเทศของเราก็เหมือนถอยหลังจมอยู่ในคลองอยู่แล้ว มีปัญหามากมายดั่งกลียุค) จะเห็นได้ชัดว่าประเทศของเราวันนี้ไม่พัฒนาเป็นประเทศพัฒนาแล้วเสียที เพราะแม้แต่ปัญญาชนของชาติยังคงงมงายกับระบบประชุมเชียร์อำนาจนิยมเช่นนี้อยู่เลย

ถามว่าประชุมเชียร์เป็นระบบอุปถัมภ์ แบ่งชนชั้น และเผด็จการอย่างไร? ก็จะขออธิบายเป็นลำดับไป สำหรับระบบอุปถัมภ์และการแบ่งชนชั้นนั้น สิ่งที่ชัดเจนนั่นคือการแบ่งรุ่นพี่รุ่นน้องอย่างรุนแรงในระบบรับน้องประชุมเชียร์ ซึ่งมีการเน้นย้ำกันในเชิงว่า “กูเป็นพี่ มึงเป็นน้อง ไม่เหมือนกัน” ในลักษณะเช่นนี้ทุกๆคณะในมหาวิทยาลัยที่มีระบบนี้ มีที่มาจากคำว่า Seniority ซึ่งมาจากตัว S ตัวแรกในคำว่า SOTUS โดยเป็นไปในเชิงที่ค่อนข้างไม่มีเหตุผลนักตรงที่ว่ารุ่นน้องต้องเคารพผู้อาวุโสอย่างรุ่นพี่ อาจารย์ สำหรับอาจารย์คงไม่เป็นไร แต่ตรงรุ่นพี่นั้นไม่มีเหตุผลที่ว่าไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่ารุ่นพี่แบบไหนควรเคารพ บอกให้แค่เคารพเท่านั้น อาจเป็นผลให้รุ่นพี่ที่ประพฤติไม่ดีเกิดความได้ใจ เขาอาจจะคิดว่า “กูจะทำอะไร มันก็เรื่องของกู ยังไงกูก็ยังมีรุ่นน้องปีหนึ่งที่ต้องเกรงกู” โดยเฉพาะในห้องประชุมเชียร์ที่รุ่นพี่จะแสดงอำนาจบาตรใหญ่ตะโกนด่าโหวกเหวกว้ากแว้กโวยวายเหวงเหวงใส่รุ่นน้องยังไงก็ได้ หรือในกิจกรรมรับน้องที่นิยมปิดตารุ่นน้องแล้วตะโกนใส่ทำนองนั้นแหละ ถ้ารุ่นพี่บางคนค่อนข้างหนักจะยึดติดกับระบบ SOTUS นี้มาก สังเกตง่ายๆว่ารุ่นพี่เหล่านี้จะทำหน้าถมึงทึงตลอดเวลาในช่วงเดือนรับน้อง เวลาเดินผ่านรุ่นน้อง ถ้ารุ่นน้องไหว้จะไม่รับไหว้ เพราะถือว่ายังไม่ได้ “รุ่น”(จะกล่าวในบทต่อไป) ซึ่งดูประหลาดคนจริงๆ เพราะปฏิบัติสวนทางกับวัฒนธรรมไทยที่จะต้อง “ยิ้มไหว้ทักทายกัน” อย่างน้อยก็คนไทยด้วยกัน เลือดไทยเหมือนกัน แต่คนประหลาดพวกนี้คงจะไม่ยึดถือคำว่า “ไทย” เป็นใหญ่ แต่จะยึดถือคำว่า “รุ่น” เป็นใหญ่เท่านั้นในช่วงรับน้องเสียกระมัง

ถามว่าระบบรับน้องประชุมเชียร์ที่มีลักษณะของระบบอุปถัมภ์แบ่งชนชั้นนี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อสังคมส่วนรวม? ส่งผลแน่นอน สังเกตได้ว่าประเทศไทยนั้นมีระบบนี้มานานจนปัจจุบันนี้ ทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองในทุกชนชั้นยึดติดระบบอุปถัมภ์แบ่งชนชั้นกันถ้วนหน้า ก็วัยรุ่นจุดเปลี่ยนของชีวิตก็พบระบบอุปถัมภ์ในการรับน้องประชุมเชียร์แล้ว พอเป็นผู้ใหญ่จะไปเหลืออะไร ชนชั้นนำ(ผู้เขียนนั้นไม่ต้องการแบ่งชนชั้น แต่ชนชั้นในที่นี้เป็นการกล่าวตามหลักวิชาการ)มีเงินมีทุน ปกครองด้วยระบบทุนนิยมสามานย์ ใช้เงินในการกว้านซื้ออำนาจและบริวารเพื่อสร้างการผูกขาด ซื้อกิจการสำคัญ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ แทรกแซงสื่อ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซื้อเสียงจากชาวบ้านในการเลือกตั้ง ชาวบ้านได้ผลประโยชน์ส่วนหนึ่งจากประชานิยม แต่ชนชั้นนำและเหล่าบริวารได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆจากการหลอกลวงประชาชนและการทุจริตคอร์รัปชั่นหลายแสนล้าน แล้วมันเกี่ยวกับประชุมเชียร์ยังไง? ก็ประชุมเชียร์มิใช่หรือที่สอนให้ต้องเคารพรุ่นพี่ เคารพผู้อาวุโส แต่ไม่อธิบายว่าต้องเคารพคนดีเท่านั้น ไม่เคยมีการบอกเหตุผล ไม่เคยมีการพูดถึงศีลธรรมจริยธรรมในการรับน้องประชุมเชียร์ ทั้งๆที่มันสำคัญที่สุดเพราะอยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนของชีวิต มีแต่พูดกันเรื่อง ”รุ่น” จนเป็นที่มาของระบบใช้เส้นสายในระบบอุปถัมภ์ที่มีแต่การเอารัดเอาเปรียบต่อกัน สอนแต่คำว่าอดทน อดทนกับสิ่งเลวร้ายแต่ไม่สอนให้แก้ไขสิ่งเลวร้ายในชาติบ้านเมืองนี้ นิ่งเฉยอดทนไปวันๆกับความเลวร้ายในบ้านเมืองนี้จนชั่วครองเมืองไปหมด พอโตเป็นผู้ใหญ่ เอ้า สังคมไทยมีระบบอุปถัมภ์แฮะ ไปเราพี่น้องกัน พรรคพวกเดียวกันต้องช่วยกันอย่างโน้นอย่างนี้นะ ติดสินบน ใช้เส้นสายกันเข้าไว้ win win กันไป เอาเข้าไป คนโกงชาตินะหรือ? ระบบอุปถัมภ์ก็เป็นที่มาของการโกงอยู่แล้ว ไม่สนหรอกโกงไม่โกง เห็นใครมีเงินมาก มีผลประโยชน์ให้มากก็ไหว้เข้าไป เคารพไปโดยไม่ดูความดีความชั่ว ได้เงินได้ผลประโยชน์กลับไปกินดีอยู่ดีกันแล้ว ใครไม่ใช่พวกกูไม่สน ปล่อยมันไป แบ่งแยกมันไป ชาวบ้านก็ไม่ต่างกัน บอกโกงได้ไม่เป็นไรแต่ขอให้ทำงาน (ทั้งๆที่งานทำไป โกงไป มันจะมีประสิทธิภาพดีได้อย่างไร คนที่รับกรรมคือประชาชน ไม่คิดกัน) ชาวบ้านอยู่ในสภาวะที่พึ่งตนเองไม่เป็น ได้แต่เรียกร้องหาชนชั้นนำในการโกงชาติให้มาช่วยเหลือ ชาวบ้านอีกกลุ่มที่ไม่สนับสนุนคนโกงซึ่งเพียงเห็นต่างและไม่ได้รับผลประโยชน์ที่เขามีสิทธิควรได้ ก็ถูกกีดกันออกไปอย่างไม่สนใจใยดีว่าพวกเขาเป็นอย่างไร ประชุมเชียร์มีปัญญาสอนได้แค่ให้อดทน อดทนจนชั่วครองเมือง จนทนกันไม่ไหวระเบิดออกมากลายเป็นกระแสสงครามประชาชน จากปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เกิดความแตกแยกในชาติของเราอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งๆที่ทุกคนก็คือคนไทยด้วยกันทั้งนั้น นี่แหละคือผลพวงแห่งระบบอุปถัมภ์แบ่งชนชั้นที่สร้างปัญหาให้ชาติมากมายถึงเพียงนี้

สำหรับในแง่ของความเป็นเผด็จการก็เช่นกัน การประชุมเชียร์นั้นเป็นลักษณะของการสั่งการโดยรุ่นพี่สั่งให้รุ่นน้องทำอะไรก็ตามที่รุ่นพี่สั่งให้ทำ และมีการสร้างสภาวะกดดันทางจิตใจให้แก่รุ่นน้องอย่างชัดเจน เช่นการกำหนดจำนวนคนเข้าประชุมเชียร์ว่าในครั้งหน้าคุณต้องพาเพื่อนคุณมาให้ได้จำนวนเท่านั้นเท่านี้ ทั้งๆที่มันเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลยอยู่แล้ว การประชุมเชียร์คือการเข้ามาฟังรุ่นพี่บ่น มาฟังรุ่นพี่ว้าก ซึ่งก็ว้ากเรื่องจริงบ้าง เพ้อเจ้อเมกกันขึ้นมาเองบ้าง แล้วใครหน้าไหนมันจะอยากมา คนที่เข้าจะมีแนวโน้มน้อยลงเสมอ แต่รุ่นพี่จะกำหนดโควตาให้มากขึ้นสวนทางกับจำนวนที่น้อยลง คนไม่เข้าประชุมเชียร์ก็ไม่โดนลงโทษอะไรอยู่แล้ว โดดไปสบายๆ คนไม่เข้านั้นก็มีสาเหตุอยู่ไม่กี่อย่าง คือบ้านอยู่ไกล กับไม่อยากเข้า คงมีไม่กี่คนหรอกที่เขาจะมาคิดว่า “เพื่อนที่เข้าไปเป็นไงบ้างนะ เราจะเข้าไปบ้างดีไหม” ส่วนคนเข้านั้นแม้จะเป็นการเข้าเพราะอยากรู้สถานการณ์ หรือเข้าเพราะรับผิดชอบ รักเพื่อน ไม่รู้จะโดดไปทำไม (เช่นผมที่เข้าทุกครั้งจึงรู้และเอามาบอกเล่า) ก็คือคนที่จะโดนบ่น โดนว้ากแทนเพื่อนที่ไม่เข้า ดังนั้นคนที่เข้าก็เจอสภาวะกดดันทางจิตใจ เช่นการต้องคิดว่าเราจะทำยังไงให้เพื่อนมาเข้าประชุมเชียร์เยอะขึ้น ซึ่งเมื่อเราพยายามจะชวนเพื่อนเข้ามาเพื่อแสดงให้รุ่นพี่ดูว่าเราทำได้ก็ไม่สำเร็จอยู่ดี เพราะเพื่อนที่ไม่เข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่า “เข้าไปโดนว้ากจะเข้าไปทำไม” เป็นเรื่องธรรมดาที่เราไปบังคับจิตใจคนอื่นไม่ได้ ช่วงรับน้องประชุมเชียร์ที่เรียกกันว่า “ช่วงว้าก”นี่แหละคือช่วงที่รุ่นน้องถูกกดดันมากที่สุด ผมไม่แปลกใจเลยถ้ามีคนต้องฆ่าตัวตายเพราะระบบรับน้องประชุมเชียร์ จากที่เล่ามาจะเห็นได้ว่าระบบนี้ไม่มีความยุติธรรมในแง่ที่ว่า คนโดดไม่เป็นไร แต่คนเข้ากลับโดนว้าก แม้คนเข้าจะได้ประสบการณ์ชีวิตก็ตาม แต่อย่างไรคนก็ย่อมคิดในแง่คิดแรก(โดดรอด เข้าโดน)มากกว่าอยู่ดี ถ้าคนที่จิตใจมีธรรมะไม่มากพอ ก็อาจจะคิดต่อไปในแง่ที่ว่า “ทำไมทำดีไม่ได้ดี” ซึ่งความคิดแบบนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิในทางธรรม คือความคิดเห็นผิดไปจากทำนองคลองธรรมเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายทั้งปวง จึงสรุปได้ว่า ระบบรับน้องและประชุมเชียร์ในปัจจุบันเป็นระบบเก่า ระบบน้ำเน่าที่ล้าหลังและไม่พัฒนา ไม่ต่างจากการเมืองน้ำเน่าหรือละครน้ำเน่าเลย เป็นการใช้ระบบอำนาจนิยมอย่างชัดเจน จึงไม่มีความชอบธรรม เป็นรากเหง้าของความเลวร้ายก่อวิกฤตในประเทศไทยทุกวันนี้โดยไม่รู้ตัว แล้วเราจะรักษาความเก่าของระบบนี้ไว้อีกนานแค่ไหน ลูกหลานไทยต้องทรมาน ต้องตายกันอีกกี่คนเพื่อสังเวยระบบรับน้องประชุมเชียร์ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรปฏิรูประบบรับน้องประชุมเชียร์ใหม่เสียที!